| ||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||
......................................
| ||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||
......................................
|
สาเหตุของมะเร็งและสิ่งแวดล้อม
เดิมเราไม่รู้มะเร็งมาจากอะไร บ้างว่า เกิดจากพันธุกรรม บ้างว่าจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม
ในที่นี้ จะกล่าวการเกิดโรคมะเร็งเนื่องจากสารเคมีในสิ่งแวดล้อม ย้อนหลังไปในปี พ.ศ. 2318 น.พ.Percival Pottได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เขม่าที่เกิดจากควันไฟของการเผาไหม้ถ่านหินและฟืน ที่เกาะตามผนังภายในของปล่องควันในบ้านคนอังกฤษเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังในเด็กคนงานที่มีอาชีพรับจ้างทำความสะอาด ของปล่องควันไฟ สารก่อมะเร็งที่ถูกพบในเวลาต่อมาก็คือ สารเบนโซ (เอ) พัยรีน ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ สารโพลีไซคลิกโรมาติกไฮโดรคาร์บอน
สารนี้สามารถผ่านซึมเข้าเซลล์บนผิวหนังของคนงานที่ได้ทำงานเป็นประจำ การนำสารนี้ไปทาบนผิวหนังของหนูทดลองก็เกิดมะเร็งผิวหนังได้เช่นเดียวกัน เขาจึงเป็นคนแรกที่พิสูจน์ว่าโรคมะเร็งเกิดจากสารเคมีก่อมะเร็งในสิ่งแวดล้อม
ต่อมา ได้มีผู้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสารก่อมะเร็งกับการเกิดโรคมะเร็ง (รูปภาพ) ในคนอาชีพต่าง ๆ มากขึ้น ตามตารางที่ 1 จะเห็นว่ามีสารก่อมะเร็งหลายจำพวกที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด โดยที่พบบ่อยที่สุด คือมะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งกระเพาะเบาหวาน มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งช่องหลังโพรงจมูก และมะเร็งตับ สารเคมีเหล่านั้นเป็นทั้งสารผสมและสารเดี่ยว ซึ่งได้แก่ โลหะ สี สารอินทรีย์และอินทรีย์ น้ำมัน พลาสติก คนที่มีอาชีพเหล่านั้น พึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมี โดยทางตรงหรือทางอ้อม โดยการทำเครื่องป้องกัน ทางจมูก ปาก และทางผิวหนังให้มากที่สุด โอกาสเสี่ยง การเกิดมะเร็งขึ้นอยู่กับความมากน้อยของการสัมผัส ปริมาณระยะเวลาที่ได้รับสารเคมีเข้าไป หรือการทำลายพิษภายในเซลล์และการขับถ่ายออกจากร่างกาย
มียารักษาโรคหลายชนิด ที่มีคุณสมบัติเป็นสารก่อมะเร็งหรือทูเมอร์โปรโมเตอร์ และมีความสัมพันธุ์ในสาเหตุการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองและในผู้ใช้ยาเป็นเวลาติดต่อกันนาน ๆ (ตารางที่ 2)
นอกจากนี้ ยังมีสารที่ก่อมะเร็งเบ็ดเตล็ดที่พบทั่วไปในอาหาร ของเคี้ยว บุหรี่ ยาสูบ และในสิ่งแวดล้อม อีกหลายชนิด ได้แก่
- สารอะเรไคดีน (arecaidin) และอะเรโคลีน (arecoline) ในผลหมากที่เคี้ยวกับปูนขาวและยาสูบทำให้เกิดมะเร็งในช่องปาก (ฟาริงซ์ ลาริงซ์และหลอดอาหาร)
- สารพวก PAH ในดินน้ำมันหรือเขม่าไฟที่เกิดจากการเผาบุหรี่ ทำให้เกิดมะเร็งของ ปอด กระเพาะอาหาร ช่องปาก ตับอ่อน และไตได้
- ตัวพยาธิใบไม้ในตับ (Opisthorchix Viverrini) จากปลา ปู หอย ที่นำมาเป็นอาหารดิบ ทำให้เกิดมะเร็งท่อน้ำดีและมะเร็งตับ
โดยพบมากที่สุดในอีสาน เนื่องจากปลาร้าดิบมีพยาธิ และไข่พยาธิฝังตัวอยู่ น่าเสียใจที่ชาวอีสานยังไม่เลิกหรือเปลี่ยนพฤติกรรมและนิสัยการบริโภคซึ่งเป็นสิ่งยากมากกว่าหลายเท่า
- อะฟลาทอกซิน (aflatoxins) สารพิษจากเชื้อราสีเขียวหรือเหลืองที่ชื่อว่า Aspergillus flavus และ Aspergillus parasiticus พบมากในถั่วลิสง ข้าวโพด พริกแห้ง กุ้งแห้ง เนื้อมะพร้าวและอาหารที่เก็บไว้นานๆ ในที่ๆ มีความชื้นสูงกว่า 14 % อะฟลาทอกซิน ถือว่าเป็นสารก่อมะเร็งที่ร้ายแรงที่สุด ทำให้เกิดมะเร็งในตับ สามารถยืนยันได้จากสัตว์ทดลองและการระบาดของมะเร็งในตับคน
- ไวรัสที่ทำให้เกิดตับอักเสบชนิดบี พบมากในหมู่คนไทย การติดเชื้อไวรัสนี้จะทำให้ตับอักเสบ เนื้อเยื่อตับบางส่วนเสียหาย หากได้รับสารก่อมะเร็งหรือสารทูเมอร์โปรโมเตอร์ผสมโรง จะทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้ง่าย
- แอลกอฮอล์ในสุรา วิสกี้ เบียร์ ไวน์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทั้งหลาย ถือว่าเป็นสารทูเมอร์โปรโมเตอร์ ทำให้เกิดมะเร็งของช่องปาก ตับ และเต้านม
- สารไอโซโทปรังสี ก๊าซเรดอนและรังสีเอกซ์ โดยเฉพาะสารที่ให้กัมมันตภาพรังสี พวกเบตา และแกมมา โดยการสัมผัสภายนอกลำแสงของรังสีสามารถทะลุทะลวงผ่านเซลล์ของเนื้อเยื่ออ่อน หรือได้รับสารกัมมันตภาพรังสี เข้าไปในร่างกายโดยตรง จะทำให้เกิดโรคมะเร็งของปอด ผิวหนัง เม็ดเลือดขาวและอวัยวะอื่น ๆ ได้
ตารางที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างอาชีพกับการเกิดโรคมะเร็งซึ่งมีสาเหตุจากสิ่งของหรือสารก่อมะเร็ง
ตารางที่ 2 ยารักษาโรคอาจเป็นสาเหตุการเกิดโรคมะเร็งในคนได้
การย้ายถิ่นฐานที่อยู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งชนิดใหม่ได้ เพราะมีการเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมและชนิดของอาหารในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างที่ได้มีการศึกษารายงานไว้คือ กลุ่มของชาวญี่ปุ่นที่ได้อพยพ ย้ายถิ่นฐานจากเกาะญี่ปุ่นไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนียไปอยู่ที่อเมริกา ปรากฏว่าชนิดและอัตราของการเกิดโรคมะเร็งของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในประเทศญี่ปุ่นชาวพื้นเมืองเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ในอัตราสูงที่สุดเมื่อเทียบกับโรคมะเร็งชนิดอื่น ๆ แต่ในลูกหลานของคนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกากลับเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมมากกว่าชนิดอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงชนิดและอัตราการเกิดโรคมะเร็งเช่นนี้อธิบายได้ว่า อาหารและสิ่งแวดล้อมสำคัญมากต่อชนิดและอัตราการเกิดโรคมะเร็ง มิใช่เรื่องของชนชาติหรือพันธุกรรม อาหารญี่ปุ่นส่วนมากประกอบด้วยข้าว เต้าหู้ ปลา ผักดองและซีอิ้ว เป็นอาหารที่มี ไขมันน้อยแต่มีกากใยมากกว่าอาหารอเมริกาซึ่งมักจะเป็นขนมปัง มันฝรั่ง เนื้อวัว เนย นม ไข่ และสลัด ดังกล่าวถูกสนับสนุนโดยการทดลองในหนู พบว่าอาหารพวกไขมัน และเนื้อแต่มีผักน้อยไม่สมดุลทางโภชนาการ ย่อมเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมได้
สาเหตุการเกิดโรคมะเร็งจึงประกอบด้วยจึงประกอบด้วยสาเหตุหลายปัจจัย มีแบบแผนแตกต่างไปจากโรคอื่นๆ
1. โรคมะเร็งมิใช่โรคที่เกิดจากสารพิษอย่างเฉียบพลันแล้วมีอาการของโรคเกิดขึ้นทันที
2. มะเร็งมิใช่เชื้อที่จะถูกฆ่าหรือทำลายได้ง่ายด้วยยาปฏิชีวนะ ขบวนการเกิดโรคเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปมีอาการเล็ก ๆ น้อยต่อมาระยะนานจึงมีพยาธิสภาพของโรคอย่างร้ายแรงที่มิสามารถแก้ไขเยียวยาได้ จนต้องมีวิธีการพิสดารแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่ถูกคิดค้นออกมาเพื่อเป็นอาวุธต่อสู้โรคราย แต่ก็ไม่สามารถปราบโรคมะเร็งได้ราบคาบ
3. เมื่อตอนแรกเริ่มเป็นมะเร็งนั้นเรายังไม่มีวิธีใดจะบอกว่าเซลล์มะเร็งตัวแรกสุดนั้นเกิดขึ้นที่ตำแหน่งใดอวัยวะใด ผู้ป่วยก็ไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ
4. เมื่อเซลล์มะเร็งแบ่งตัวตลอดเวลาจนมีจำนวนหนึ่งพันล้าน (109 ) เซลล์ หรือก้อนเนื้องอกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. ผู้ป่วยจะแสดงอาการบางอย่าง เช่น ไอเรื้อรัง เลือดออกโดยไม่ทราบสาเหตุ ท้องอืดเป็นประจำ ฯลฯ แล้วแต่ชนิดของอวัยวะ
5. ถ้าเป็นก้อนเนื้องอกในบริเวณที่คลำได้หรือส่องมองเห็นได้ด้วยอุปกรณ์พิเศษก็สามารถจะตรวจพบได้ หรืออาจตรวจสอบด้วยสารทูเมอร์มาร์คเกอร์ (tumor marker) ในเลือดและในชิ้นเนื้อที่เจาะหรือตัดออกมาศึกษาทางพยาธิวิทยา ต่อจากนี้การขยายตัวของก้อนเนื้องอกจะรวดเร็วหลายเท่าตัวกว่าในระยะที่เริ่มเกิดใหม่ ๆ จนมีผู้ป่วยเสียชีวิตเพราะไม่สามารถทนต่อการรุกรานของก้อนมะเร็งที่ส่งผลกระทบไปทั่วร่างกายได้
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น